วิชาก้าวทันโลกศึกษา 2 หน่วยที่ 1

กฎหมาย

ความหมายของกฎหมาย
ได้มีผู้ให้ความหมายของกฎหมายไว้ดังนี้
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย
"กฎหมาย คือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฏรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตาม ธรรมดาต้องลงโทษ"
ดร.สายหยุด แสงอุทัย
"กฎหมาย คือข้อบังคับของรัฐที่กำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ"
กฎหมาย สามารถแยกได้เป็น 2 คำคือ คำว่ากฎซึ่งแผลงมาจากคำว่า กด หรือกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายและถูกลงโทษ
จากคำจำกัดความของกฎหมายข้างต้น สามารถสรุปความหมายของกฎหมายได้ว่า หมายถึง ระเบียบ ข้อบังคับ บทบัญญัติซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐหรือประเทศ ได้กำหนดมาเพื่อใช้ในการบริหารกิจการบ้านเมืองหรือบังคับความประพฤติของประชาชนในรัฐหรือประเทศนั้นให้ปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม หากผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมาย
ลักษณะสำคัญของกฎหมาย
กฎหมายมีลักษณะสำคัญ สรุปได้ดังนี้
1.กฎหมายมีลักษณะเป็นข้อบังคับ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
  • บังคับไม่ให้กระทำ เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามทำร้ายร่างกาย ห้ามเสพสิ่งเสพย์ติด
  • บังคับให้กระทำ เช่น ประชาชนชาวไทยเมื่อมีอายุ 15 ปี ต้องมีบัตรประจำตัวประชาขน ผู้มีรายได้ต้องเสียภาษีอากร เป็นต้น
2. กฎหมายมีลักษณะเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดมีขึ้นโดยผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ เช่น ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ออกกฎหมาย ส่วนประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีรัฐสภาเป็นผู้ออกกฎหมาย และพระราชบัญญัติ มีรัฐบาลเป็นผู้ออกพระราชกำหนด พระราชกฤษฏีกาและกฎกระทรวง
3. กฎหมายจะต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้กับบุคคลทุกคนในรัฐโดยไม่มีข้อยกเว้น อย่างเสมอภาคไม่ว่าคนนั้นจะถือสัญชาติใดก็ตาม
4. กฎหมายมีผลบังคับใช้ตลอดไป จนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิก
5. ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายต้องได้รับโทษ การปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผู้ปฏิบัติ แต่เกิดจากการถูกบังคับ ดังนั้นเพื่อให้การบังคับเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีบทลงโทษแก่ผู้ฝ่าฝืน ได้แก่
  • ความผิดทางอาญากำหนดโทษไว้ 5 สถาน คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับและริบทรัพย์สิน
  • วิธีการเพื่อความปลอดภัย เป็นมาตรการเพื่อให้สังคมปลอดภัยจากการกระทำของผู้กระทำผิดที่ติดเป็นนิสัยไม่มีความเข็ดหลาบ โดยไม่ถือว่าเป็นโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญากำหนดไว้ 5 ประการ คือ การกักกัน ห้ามเข้าเขตกำหนด เรียกประกันทัณฑ์บน คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล และห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง
  • กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ กฎหมายที่บัญญัติออกมาต้องมาจากรัฐที่มีเอกราช
  • พนักงานของรัฐเป็นผู้บังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย หมายความว่า เมื่อมีการกระทำผิดที่ฝ่าฝืนกฎหมาย จะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิด ผู้เสียหายจะแก้แค้นหรือลงโทษกันเองไม่ได้บุคคลเหล่านี้ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้พิพากษา เป็นต้น
ที่มาของกฎหมาย
แหล่งที่มาของกฎหมายมีอยู่มากมายหลายทาง และมีวิวัฒนาการหรือเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ทังนี้สามารถแบ่งแหล่งที่มาของกฎหมายได้ดังนี้
  • จารีตประเพณี เป็นแนวปฏิบัติที่ใช้ในการควบคุมความประพฤติของมนุษย์ซึ่งไม่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นเรื่องของการยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน
  • การออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ ในการปกครองระบอบราสาธิตไตย การออกกฎหมายจะเป็นพระบรมราชโองการของกษัตริย์ ต่อมาอำนาจในการออกกฎหมายเป็นของสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมายโดยเฉพาะ ที่สำคัญคือ สถาบันรัฐสภาหรือสภานิติบัญญัติ ปัจจุบันรัฐที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย รัฐสภาเป็นแหล่งออกกฎหมายโดยตรง
  • คำสั่งและกฤษฏีกาที่ออกโดยฝ่ายบริหาร เป็นกฎหมายที่ฝ่ายบริหารเป็นผู้ออกมาบังคับใช้
  • คำพิพากษาของศาล คำพิพากษาของศาลคือแหล่งที่มาของกฎหมายนั้นๆ เช่น กรณีที่ผู้พิพากษาเคยตัดสินคดีในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อน เมื่อมีคดีลักษณะเช่นเดียวกันเกิดขึ้นมาอีก ผู้พิพากษาจะยึดเอาคำตัดสินที่แล้วมาเป็นหลัก
  • ความคิดเห็นของนักวิชาการ นักวิชาการกฎหมายมีส่วนช่วยให้เกิดกฎหมายใหม่ๆ ขึ้นบังคับใช้ในสังคม หรือนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ทีไม่มีความยุติธรรมหรือไม่มีความเท่าเทียมกันในสังคม ให้มีความเหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงอายุของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจาก 20 ปี เป็น 18 ปี ฯลฯ
จุดประสงค์และความสำคัญของกฎหมาย
จุดประสงค์ของการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาก็เพื่อ จัดระเบียบให้กับสังคม ทั้งยังช่วยรักษาความมั่นคงให้รัฐ ระงับข้อพิพาท ประสานผลประโยชน์ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม ช่วยพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้า โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการรักษาระเบียบของสังคม เมื่อสังคมมีระเบียบจะทำให้ง่ายต่อการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
จากจุดประสงค์ของการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาข้างต้น สามารถสรุปความสำคัญของกฎหมายได้ดังนี้
  • เป็นเครื่องมือในการควบคุมและกำหนดแนวทางพฤติกรรมของคนในสังคมให้เป็นระเบียบและเพื่อความสงบเรียบร้อย
  • เป็นเครื่องมือในการกำหนดและปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมแก่ประชาชนในรัฐ
  • เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ภายในรัฐ
  • เป็นเครื่องมือในการรักษาความปลอดภัยและปกป้องอันตรายและภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับสังคมหรือรัฐ
  • เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์และพัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรือง
ประเภทของกฎหมาย
การแบ่งประเภทของกฎหมายโดยพิจารณาจากสภาพภูมิศาสตร์หรือขอบเขตการใช้กฎหมายมาเป็นแนวทางในการแบ่งประเภท อาจแบ่งกฎหมายได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. กฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐในฐานะที่เท่าเทียมกัน เป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างรัฐ ซึ่งถือเป็นกติกาในการจัดระเบียบสังคมโลก ตัวอย่างเช่น กฎหมายการประกาศอาณาเขตน่านฟ้า การส่งผู้ร้ายขามแดน และสนธิสัญญาต่างๆ เป็นต้น
2. กฎหมายภายในประเทศ เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับภายในรัฐต่อบุคคลทุกคนที่อาศัยอยู่ภายในรัฐ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนของประเทศนั้นๆ หรือบุคคลต่างด้าว กฎหมายภายในประเทศยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ กฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน
  • กฎหมายมหาชน หมายถึง กฎหมายที่รัฐเข้าไปมีส่วนร่วมในการเป็นคู่กรณีด้วยกับเอกชน มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดรูปแบบการปกครองรัฐ และควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชนในฐานะที่รัฐจำต้องรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และผลประโยชน์ของสาธารณะ โดยทั่วไปกฎหมายมหาชนแบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ
    • รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กำหนดรูปแบบและการปกครองของรัฐ การใช้อำนาจอธิปไตย และการกำหนดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในด้านต่างๆ
    • กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่ขยายความให้ละเอียดจากรัฐธรรมนูญบัญญัติเกี่ยวกับองค์กรของรัฐ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการปฏิบัติการต่างๆ ตามกฎหมาย กำหนดสิทธิของประชาชนในการเกี่ยวพันกับรัฐ
    • กฎหมายอาญา เป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติครอบคลุมเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของรัฐ ชุมชน และประชาชนโดยส่วนรวม วัตถุประสงค์ของกฎหมายเพื่อที่จะให้ความปลอดภัย สร้างความเป็นระเบียบของรัฐและรักษาศีลธรรมอันดีของประชาชน
    • กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดวิธีพิจารณาคดีอาญาทางศาล
    • พระธรรมนูญศาลยุติธรรม กำหนดว่าในการพิจารณาคดีนั้น ศาลใดจะมีอำนาจในการพิจารณาคดีประเภทใด
  • กฎหมายเอกชน
เป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือบุคคลกับนิติบุคคล และบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ที่ให้บุคคลสามารถรักษาและป้องกันสิทธิมิให้ถูกละเมิดจากบุคคลอื่น เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสัญญา การสมรส มรดก กฎหมายเอกชนแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
    • กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายที่กำหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของเอกชน เช่น ความมีสภาพเป็นบุคคล ครอบครัว มรดก นิติกรรม เป็นต้น ซึ่งถ้ามีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของกันและกันแล้ว ไม่กระทบคนส่วนใหญ่ ลักษณะการลงโทษจึงมีเพียงการชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น
    • กฎหมายพาณิชย์ เป็นกฎหมายที่กำหนดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของบุคคลที่ประกอบการค้าและธุรกิจ เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน การประกัน เป็นต้น ซึ่งมีผลกระทบกับคนส่วนใหญ่ ดังนั้นลักษณะของกฎหมายจึงต่างจากกฎหมายแพ่ง
    • กฎหมายพิจารณาความแพ่ง เป็นกฎหมายว่าด้วยข้อบังคับที่ใช้ในการดำเนินคดีเมื่อเกิดคดีความทางแพ่ง
สำหรับประเทศไทย ได้รวมกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ไว้เป็นฉบับเดียวกัน เรียกว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ศักดิ์ของกฎหมาย
ลำดับศักดิ์ของกฎหมาย เป็นแนวความคิดทางกฎหมายของฝรั่งเศส ซึ่งกำหนดลำดับชั้นระหว่างกฎหมายประเภทต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้มีอำนาจในการตรากฎหมายที่มีศักดิ์ด้อยกว่าต้องเคารพและไม่สามารถตรากฎหมายที่ละเมิดกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าได้
กฎหมายไทยได้นำเอาหลักดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ อาทิ พระราชบัญญัติจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีศักดิ์สูงกว่า ไม่ได้ หรือ พระราชบัญญัติจะต้องไม่มีเนื้อหาขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ดังที่ มาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 บัญญัติว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
องค์กรหลักตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผู้ดูแลความสอดคล้องของกฎหมายต่างๆ ต่อกฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญ คือศาลรัฐธรรมนูญ
ลำดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย แบ่งอย่างละเอียดเป็น 7 ชั้น ได้แก่











วิวัฒนาการของกฎหมาย
วิวัฒนาการของกฎหมาย 3 ยุค (ทฤษฎีกฎหมายสามยุคของสำนักนิติ ธรรมศาสตร์)
        จากการวิเคราะห์และตรึกตรองในประวัติความเป็นมาของสถาบันกฎหมายที่มีในโลกปัจจุบันจะเห็นได้ว่า กว่าที่มนุษย์จะสามารถพัฒนามาจนถึงมีระบบกฎหมายดังที่ปรากฏในปัจจุบันได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางความคิดทางรูปแบบและโครงสร้างของกฎหมายมาหลายยุคหลายสมัยจากการวิเคราะห์ในแง่นิติศาสตร์ และในแง่ประวัติศาสตร์กฎหมายแล้วเราพอสรุปอย่างคร่าว ๆ ว่ากฎหมายได้ปรากฏตัวขึ้นในเวทีประวัติศาสตร์ของมนุษย์เป็น 3 รูปแบบคือ
        1.กฎหมายชาวบ้าน (Volksrecht)
        2.กฎหมายนักกฎหมาย (Juristenrecht)
        3.กฎหมายเทคนิค (Technical Law)
        กฎหมาย 3 รูปแบบนี้หากเราสำรวจการอุบัติขึ้นของแต่ละรูปแบบแล้วเราก็อาจกล่าวอย่างสรุปรวบรัดได้ว่า กฎหมายชาวบ้านอุบัติขึ้นก่อน ตามมาด้วยกฎหมายนักกฎหมาย และกฎหมายเทคนิค เป็นรูปแบบสุดท้าย ในแง่นี้เราอาจกล่าวถึงวิวัฒนาการของกฎหมาย 3 ยุค ได้ดังต่อไปนี้
        1. กฎหมายชาวบ้าน (Volksrecht) กฎหมายในยุคนี้ปรากฏออกมาในรูปแบบของขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี ซึ่งมีองค์ประกอบสองประการคือ องค์ประกอบภายนอก คือต้องประพฤติปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและเป็นเวลานมนาน ส่วนองค์ประกอบภายใน ได้แก่สิ่งที่ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอนั้นได้รับการยอมรับกันในชุมชนว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง (opunio juris) ถ้าไม่ปฏิบัติเช่นนั้นก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรือนัยหนึ่งรู้สึกว่าจำเป็นต้องปฏิบัติเช่นนั้น (opinion necessitates) กฎหมายในยุคนี้จึงเรื่มจากกฎเกณฑ์ที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีง่าย ๆ ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปเป็นกฎหมายที่ตกทอดกันมาแต่โบราณที่เรียกว่า กฎหมายที่ดีของบรรพบุรุษในยุคนี้มนุษย์ยังไม่สามารถแยกว่าศีลธรรมขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี กับกฎหมายว่าต่างกันอย่างไรจึงเรียกว่า กฎหมายชาวบ้าน (Volksrecht)” เพราะเป็นสิ่งที่รู้กันโดยชาวบ้านสามัญทั่วไป ใช้เหตุผลธรรมดาสามัญก็สามารถเข้าใจได้ ในยุคนี้ยังไม่มีนักกฎหมายที่เป็นวิชาชีพเอกเทศแยกจากประชาชนโดยทั่วไป ในสมัยต่อมาจึงค่อย ๆ วิวัฒนาการเป็นระบบกฎหมายที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ตัวอย่างของหลักกฎหมายในยุคนี้ เช่น การห้ามฆ่าคน ห้ามลักทรัพย์ของผู้อื่น เป็นต้น
        2. ยุคกฎหมายนักกฎหมาย (Juristenrecht) หรือหลักกฎหมายเป็นยุคที่กฎหมายเจริญขึ้นต่อจากยุคแรก ยุคแรกคนยังไม่สามารถแยกกฎหมายออกจากศีลธรรม แต่พอมาถึงยุคที่ 2 นี้ คนจะเริ่มมองเห็นว่ากฎหมายเป็นกฎเกณฑ์อีกแบบหนึ่งซึ่งแตกต่างจากศีลธรรมและจารีตประเพณี โดยเฉพาะกฎหมายที่เป็นขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีที่สำคัญ ถ้าไปล่วงเกินเขาหากผู้ที่ถูกล่วงเกินไม่ยอมอยู่เฉยๆ ต่อมามีคนทำล่วงละเมิดกฎหมายที่สำคัญเหล่านี้มากขึ้นคนในชุมชนอาจไม่พอใจอย่างแรงต่อการกระทำนั้น เพราะรู้สึกว่าเป็นการกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายเป็นความผิดจึงรวมหัวกันเข้าเพื่อกำราบผู้กระทำความผิดนี้ ไม่ใช่การแก้แค้นส่วนตัว แต่เป็นความรู้สึกร่วมกันของคนในกลุ่ม ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งชั่วร้าย และรวมหัวกันไปปราบปรามผู้กระทำผิด การกระทำดังกล่าวค่อยๆ พัฒนากลายเป็นกระบวนการยุติธรรมขึ้นมา การที่คนในชุมชนรู้สึกแค้นเคืองต่อการกระทำชั่วหรือความผิดที่เกิดขึ้นแล้วรวมตัวกันไปทำร้ายต่อผู้กระทำผิดเพื่อตอบสนองต่อความผิดเช่นนี้นับว่าเป็นการลงโทษในนามของชุมชนส่วนรวม กระบวนการบังคับตามกฎเกณฑ์เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเป็นธรรมจึงเกิดขึ้นที่เรียกว่า กระบวนการยุติธรรมนั่นเอง
        กระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการรักษาความเป็นธรรมมีอยู่ 2 ขั้นตอน กล่าวคือ ขั้นตอนแรกเป็นขั้นตอนการพิจารณาและชี้ขาดว่า ใครผิดใครถูก ขั้นตอนนี้เรียกว่า '“กระบวนการพิจารณาคดีและเมื่อชี้ขาดว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิดแล้วต่อมาเป็นขั้นตอนที่สองคือ การลงโทษผู้กระทำผิด ขั้นตอนนี้เรียกว่า กระบวนการบังคับคดีเมื่อกระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยๆ อย่างสม่ำเสมอในชุมชนนั้นจะมีอำนาจอย่างหนึ่งเกิดขึ้นคือ อำนาจตุลาการ
        จากการที่ชุมชนหนึ่งมีกระบวนการพิจารณาและบังคับคดีชุมชนนั้นก็จะเริ่ม การปกครองที่เป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนทำให้ชุมชนกลายเป็นชุมชนที่เจริญ เพราะมีการแบ่งงานในชุมชนนั้น เราจะเห็นว่าการปกครองเกิดขึ้นให้เห็นได้ชัดเจนในชุมชนใดก็ต่อเมื่อชุมชนนั้นมีกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นกิจจะลักษณะ กล่าวคือ มีกระบวนการชี้ขาดและบังคับคดีนี้เป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลานานจนทำให้มีกฎเกณฑ์เกิดขึ้นใหม่ เป็นการเสริมกฎเกณฑ์เก่าที่มีอยู่ในรูปของขนบธรรมเนียมประเพณีเพื่อเติมแต่งให้มีรายละเอียด เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดในคดีที่สลับซับซ้อน เมื่อตัดสินคดีไปหลายคดี ข้อที่เคยปฏิบัติในการพิจารณาคดีก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นใหม่นี้เราเรียกว่า กฎหมายนักกฎหมาย (Juristenrecht)”
        กฎหมายนักกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมจากกฎเกณฑ์ที่เป็นขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีดั้งเดิม ต้องใช้เหตุผลละเอียดลึกซึ้งในการวินิจฉัยชี้ขาด ถ้าหากในการชี้ขาดไม่ใช้เหตุผลเป็นเครื่องวินิจฉัยแล้ว คำชี้ขาดที่ติดต่อตามหลังกันมาก็จะหาเหตุผลที่สม่ำเสมอไม่ได้ คนธรรมดาก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำชี้ขาดเหล่านั้น แต่มีการชี้ขาดคดีความโดยค้นหาเหตุผลที่ถูกต้องเหมาะเจาะเหมาะสมและเป็นธรรมในคดีแต่ละคดี กฎเกณฑ์จึงจะค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นกฎหมายได้ ลักษณะการใช้เหตุผลโดยการตัดสินคดีดังกล่าวเรียกว่า เหตุผลปรุงแต่งทางนักกฎหมาย (Artificial Juristic Reason)” ซึ่งทำให้เกิดหลักกฎหมายหรือกฎหมายนักกฎหมายในที่สุด
        กฎเกณฑ์ที่เกิดจากการคิดไตร่ตรองค้นหาเหตุผลในแต่ละเรื่องของนักกฎหมาย เป็นเหตุผลที่ปรุงแต่งขึ้นโดยนักกฎหมาย ซึ่งเป็นรายละเอียดเพิ่มเติมจากกฎเกณฑ์ดั้งเดิมที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี การวินิจฉัยชี้ขาดคดีโดยการใช้เหตุผลเช่นนี้เมื่อทำติดต่อกันเป็นเวลานาน วิธีคิดหาเหตุผลแบบนิติศาสตร์จึงค่อยๆ พัฒนาก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง จะเห็นได้ว่าในสองยุคที่กล่าวมานั้นกฎหมายและจารีตประเพณีค่อยๆ พัฒนาจนแยกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นตามลำดับ ในที่สุดจึงเกิดมีวิชานิติศาสตร์ขึ้น
        การใช้เหตุผลแบบธรรมดาสามัญในยุคกฎหมายชาวบ้าน (Volksrecht) กับการใช้เหตุผลปรุงแต่งแบบนักกฎหมายในยุคกฎหมายนักกฎหมาย (Juristenrecht) แตกต่างกันอย่างไรเห็นได้จากคดีตัวอย่างต่อไปนี้
        คดีที่ 1 ในสมัยโบราณในขณะที่มนุษย์ยังมีชีวิตแบบคนป่าอยู่ คนป่านาย ก. ไปล่ากวางได้ตัวหนึ่ง หามกวางกลับบ้าน คนป่าอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ทำอะไรเลยเห็นเข้าอยากได้กวางจึงเข้าไปแย่งเอากวางตัวนั้น คนสองคนก็คงจะต่อสู้กัน ถ้าในป่าไม่มีชุมชน ไม่มีสังคม ใครมีกำลังมากกว่าก็ชนะก็เอากวางไป นี่คือกฎของป่า (Low of the jungle) ถือว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กใครมีกำลังแย่งเอาก็เอาไป แต่ในชุมชนมนุษย์ที่อยู่อย่างสงบย่อมจะต้องมีความรู้สึกร่วมกันว่าอะไรผิดอะไรถูก แล้วถ้านาย ก. และ ข. อยู่เผ่าเดียวกันเขาจะมีหัวหน้าเผ่า ผู้เฒ่าผู้แก่จะเรียกคนสองคนมากล่าวกันว่าใครผิดใครถูก เราจะบอกได้ไหมว่าใครผิดใครถูก โดยไม่ต้องไปคำนึงว่าได้ร่ำเรียนกฎหมายเรื่องทรัพย์มาหรือไม่ กล่าวโดยทั่วไปทุกคนย่อมตอบได้ว่านาย ก. ควรจะได้กวาง ส่วนนาย ข. ไปแย่งเขาเป็นฝ่ายผิด ความคิดเช่นนี้ไม่ต้องเรียนกฎหมายก็รู้ได้เอง เพราะสามัญสำนึกจะบอกให้รู้เอง คดีอย่างนี้วินิจฉัยได้โดยใช้ เหตุผลธรรมดาสามัญของชาวบ้าน (Simple Natural Reason)” กฎหมายชาวบ้าน (Volksrecht) ก็ใช้เหตุผลง่ายๆ อย่างนี้ในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ กฎหมายในยุคแรกเริ่มจึงแยกไม่ออกจากศีลธรรมขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีและสามัญสำนึกของคนทั่วไป
        คดีที่ 2 ข้อเท็จจริงต่างจากคดีดังกล่าว คือ นาย ก. พยายามฆ่ากวางแต่กวางยังไม่ตายเพียงบาดเจ็บเลือดไหลและสามารถวิ่งหนีไปได้ นาย ก. ตามกวางตัวนั้นไปยังไม่ทันจับได้ กวางวิ่งเข้าไปในสวนหรือบ้านนาย ข. ไปขาดใจตายต่อหน้านาย ข. นาย ข. เก็บกวางได้โดยไม่ต้องขวนขวายทำอะไรเลย นาย ก. ซึ่งไล่ตามกวางมา แต่ปรากฏว่ากวางตัวนั้นถูกคนอื่นเก็บไปเสียแล้ว เกิดข้อพิพาทขึ้นมาว่าใครจะเป็นเจ้าของ นาย ก. เป็นผู้ทำร้ายกวางก่อนบอกว่า นาย ข. อยู่เฉยๆ จะได้กวางไปนั้นไม่ถูก เมื่อเกิดการโต้แย้งกัน ในสมัยก่อนก็ประลองกำลังกันเป็นการตัดสินด้วยกฎของป่า (Low of the jungle) แต่ในสังคมที่เป็นโคตรตระกูล ชนเผ่า รัฐก็ดี จะมีผู้ใหญ่ที่ยอมรับนับถือทั้งสองฝ่ายที่มีความฉลาดตัดสินให้คนที่ฉลาดสามารถแยกแยะหาเหตุผลอย่างละเอียดอ่อน ก็จะตัดสินว่านาย ก. ควรได้กวาง เพราะเขามองเห็นกรณีแรก นาย ก. เป็น The First Taker นาย ก. จึงควรจะได้ แม้หากนาย ข. จะแย่งไปแล้วไม่ยอมคืนก็ต้องถูกบังคับให้คืนกวางให้แก่นาย ก. แต่ในคดีที่สองผู้ชี้ขาดตัดสินคดีมีความสามารถรอบคอบ พิเคราะห์ไตร่ตรองแล้วก็จะมองเห็นว่านาย ก. เป็นฝ่ายที่ได้ลงทุนลงแรงทำร้ายกวางจนบาดเจ็บ นาย ข. อยู่เฉยๆ มิได้ทำอะไรเลย กลับชุบมือเปิบเอากวางไปเสียอย่างง่ายดาย ถ้าจะตัดสินให้กวางแก่นาย ข. ไปเพราะนาย ข. เก็บกวางตัวนั้นไปได้อยู่ในมือของเขาแล้ว ความรู้สึกส่วนลึกก็จะบอกว่าทำอย่างนี้ไม่เป็นธรรมกับนาย ก.
        เมื่อใช้เหตุผลแยกแยะข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างละเอียดก็จะมองเห็นอย่างชัดเจนว่า การทำร้ายจนบาดเจ็บทำให้กวางเสียกำลังไม่เหมือนกวางธรรมดาที่มีกำลังหนีได้เต็มที่ การที่ทำร้ายกวางจนบาดเจ็บและไล่ติดตามอยู่จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้กวางตัวนั้นตกอยู่ในวงเขตหวงกันของนาย ก. อยู่ก่อนแล้ว นาย ก. จึงมีความชอบธรรมที่จะหวงกันไม่ให้คนอื่นมาแย่งเอาไป ถึงแม้ยังจับตัวกวางไม่ได้โดยตรงก็ตาม ด้วยเหตุนี้ นาย ข. ที่อยู่เฉยๆ เก็บกวางได้จึงไม่ใช่เก็บกวางตัวที่อยู่ในสภาพอิสระตามปกติธรรมดา แต่เก็บกวางที่อยู่ใต้การยึดถือของคนอื่นที่มีความชอบธรรมที่จะหวงกัน ดังนั้นนาย ข. จึงไม่ใช่ The First Taker ดังนั้นนาย ข. จึงไม่มีสิทธิที่จะได้กวางตัวนั้น
        คดีที่ 3 ข้อเท็จจริงแตกต่างจากคดีที่ 1 และคดีที่ 2 กล่าวคือ นาย ก. ใช้ธนูยิงนก ปรากฏว่าไปถูกส่วนหางทำให้ขนนกสวยๆ ร่วงกระจุยลงมา แต่ไม่ถูกตัวนก นกตัวนั้นยังบินต่อไปได้สบาย แต่บินเข้าไปในที่ของนาย ข. จนถูกนาย ข. จับได้ นาย ก. กับนาย ข. ใครควรจะได้นกตัวนั้น ในกรณีที่ 3 ถ้าผู้ตัดสินเป็นคนเถรตรง ไม่ใช้ความคิดแยกแยะให้ละเอียดก็จะทึกทักเอาว่ากรณีนี้ก็เหมือนกับกรณีที่ 2 คือ ได้ทำร้ายสัตว์แล้ว และกำลังติดตามด้วย เพราะฉะนั้นนาย ก. ควรจะได้นกไปเหมือนกรณีที่ 2 แต่หากมีตุลาการหรือหัวหน้าเผ่าที่มีสติปัญญาละเอียดอ่อน แยกแยะเรื่องได้ละเอียดชัดเจนก็จะอธิบายได้ว่า จริงอยู่ นาย ก. ได้ทำร้ายนกแล้ว แต่แค่ทำให้ขนนกร่วงลงมา ไม่ได้ทำให้นกได้รับบาดเจ็บถึงขนาดเสื่อมสมรรถภาพที่จะหนี เพราะฉะนั้นถึงแม้ทำร้ายแต่เพียงเล็กน้อย ถึงแม้จะไล่ติดตามนกตัวนั้น แต่ไม่รู้ว่าจะจับนกตัวนั้นได้หรือไม่ การทำร้ายจึงไม่มีผลสำคัญ นกไม่ได้เสื่อมความสามารถที่จะหนีเลย ไม่ได้ตกเข้ามาอยู่ในวงเขตหวงแหนของนาย ก. เลย นาย ก. จึงไม่มีความชอบธรรมอันใดที่จะหวงกันนกตัวนั้น เพราะฉะนั้นควรจะตัดสินให้เสมือนว่าไม่ได้มีการทำร้ายนกตัวนั้นเลย นาย ก. จึงไม่ได้มีความชอบธรรมที่จะหวงแหนนกตัวนั้น นาย ข. ควรเป็นฝ่ายที่จะได้นกตัวนั้นไป
        ทั้ง 3 คดี เป็นกรณีพิพาทว่าใครควรเป็นเจ้าของสัตว์ ต่างใช้หลักเดียวกันในการชี้ขาดตัดสินคดี คือ หลักสิทธิของผู้ได้ก่อน (The Right of the Firs Taker) คดีแรกตัดสินได้ง่ายมาก ไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องเรียนกฎหมาย เกือบจะไม่ต้องใช้ความคิดเลย ชี้ได้ว่าควรจะให้ใครชนะ เพราะเป็นเหตุผลแบบสามัญชนสำนึก ซึ่งก็คือเหตุผลในทางศีลธรรมที่ใครๆ ก็รู้ เป็นเหตุผลแบบกฎหมายชาวบ้าน (Volksrecht) แต่คดีที่ 2 มีรายละเอียดขึ้นมากกว่าสิทธิของผู้ที่มาก่อนได้ก่อนนั้น ถ้าได้ทำร้ายสัตว์จนบาดเจ็บแล้วติดตามผู้ทำร้ายก็กลายเป็น The Firs Taker แม้จะไม่ได้จับมันได้โดยตรงก็ตาม ข้อความคิด (concept) เกี่ยว The Firs Taker ว่าใครมาก่อนได้ก่อนนี้จึงมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นว่า ถ้าได้ทำร้ายสัตว์แล้วก็จะเกิดมีอำนาจหวงกันสัตว์นั้น เพราะฉะนั้นข้อความคิด The Firs Taker จึงมีความหมายกว้างขึ้น รวมไปถึงคนที่ได้ทำร้ายแล้วติดตามอยู่ แต่ในคดีที่ 3 ได้ความว่า The Firs Taker ไม่รวมถึงผู้ทำร้ายสัตว์ให้บาดเจ็บและติดตามทุกคน แต่จะรวมถึงผู้ทำร้ายที่ทำให้สัตว์บาดเจ็บถึงขนาดที่ให้มันเสื่อมความสามารถที่จะหนี เพราะฉะนั้น The Firs Taker จึงมีข้อความที่เพิ่มเติมละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้น
        คดีที่สองกับคดีที่สามนี้เป็นการใช้ความคิดแยกแยะเปรียบเทียบอย่างละเอียดละออที่เรียกว่า การใช้เหตุผลทางกฎหมาย (Juristic Reasoning)” วิธีคิดอย่างนี้เป็นวิชาและศิลปะของนักกฎหมายที่นักศึกษากฎหมายจะต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดขึ้นในตัวของตนเองจนเป็นคุณสมบัติประจำตัวที่เรียกว่า หัวกฎหมาย” (legal mind) ความจริงแล้ววิธีคิดของนักกฎหมายก็ไม่ได้แตกต่างตรงกันข้ามกับเหตุผลของคนธรรมดา เพียงแต่มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งกว่าเท่านั้น จึงต้องมีการศึกษาร่ำเรียนจากตำราและครูบาอาจารย์ ผลจากการใช้เหตุผลทางกฎหมายที่ลึกซึ้งละเอียดในการวินิจฉัยคดีติดต่อกันเป็นเวลานานนี้ก็จะก่อให้เกิดหลักกฎหมายที่แตกต่างไปจากกฎหมายประเพณีหรือกฎหมายชาวบ้าน กฎหมายที่อุบัติขึ้นในทำนองนี้เราเรียกว่า กฎหมายนักกฎหมาย (Juristenrecht)” ที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะกฎหมายประเภทนี้ถูกปรุงแต่งให้เป็นรูปร่างขึ้นโดยฝีมือทางความคิดของนักกฎหมาย สังคมมนุษย์ต้องพัฒนาไปมากพอสมควรและใช้กฎหมายชาวบ้านมานานมากทีเดียว จนกระทั่งเจริญมาถึงขั้นหนึ่งที่สังคมมีความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนจนกฎหมายชาวบ้านที่ใช้อยู่ไม่พอใช้บังคับกับชีวิตในสังคมที่เจริญมากแล้ว กฎหมายของนักกฎหมายจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม
        ในสมัยปัจจุบัน เรามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอื่นๆ หากนำประมวลกฎหมายมาพิเคราะห์ให้ถ่องแท้แล้วจะเห็นได้ว่า แม้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับปัจจุบันก็ยังมีตัวบทที่มีต้นตอมาจากกฎหมายนักกฎหมายอยู่ไม่น้อย เช่น เรื่องอายุความ (ป.พ.พ. มาตรา 193/9-193/35) ถ้าเราเป็นหนี้ไปกู้เงินมาแล้วไม่ชำระ ถ้าเจ้าหนี้ไม่ใช้สิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา 10 ปี ลูกหนี้ก็ปฏิเสธไม่ชำระหนี้ได้ โดยอ้างว่าสิทธิเรียกร้องนั้นขาดอายุความตามมาตรา 193/10 เพราะสิทธิเรียกร้องนั้นต้องใช้ภายในกำหนดที่กฎหมายกำหนดไว้ ถ้าไม่ใช้สิทธิภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ทำให้เกิดสภาพทางกฎหมายที่เรียกว่า สิทธิเรียกร้องขาดอายุความกรณีเป็นหนี้แล้วไม่ใช้ภายในกำหนดที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ได้หมายความว่าลูกหนี้หมดหน้าที่ทางศีลธรรมจะชำระหนี้ ในสมัยก่อนคนมีความเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ถ้ามีหนี้ก่อนตายมักสั่งลูกหลายไว้ว่า เมื่อตนตายแล้วให้นำเงินไปชำระหนี้ที่ค้างเจ้าหนี้อยู่ให้หมดสิ้น แสดงว่าเรื่องอายุความในกฎหมายแตกต่างจากศีลธรรม ทั้งนี้เพราะว่าในแง่คดีความนั้นถ้าเจ้าหนี้ปล่อยปละละเลยเป็นเวลานานไม่ดำเนินการบังคับชำระหนี้ พยานบุคคลอาจล้มหายตายจากหรือพยานเอกสารอาจสูญหายหรือถูกทำลายได้ จึงเกิดปัญหาว่าศาลจะตัดสินให้เกิดความยุติธรรมได้อย่างไร ทำให้ศาลอยู่ในฐานะลำบากในการตัดสินคดีให้ยุติธรรม กฎหมายจึงกำหนดเรื่องอายุความไว้เพื่อบังคับให้เจ้าหนี้ต้องใช้สิทธิของตนในระยะเวาอันสมควรตามที่กฎหมายกำหนดไว้
        ตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่อง การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 หมายถึง การเข้ายึดถือครอบครองสิ่งของของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือที่ดิน หรือสิ่งของมีค่าอย่างอื่น โดยที่เจ้าของไม่ได้ยินยอมหรือมอบหมาย หรือให้เช่า หรือให้ยืม แต่เข้าไปแย่งการครอบครอง คือเอาเป็นเจ้าของโดยพลการ ถ้าเป็นการแย่งการครอบครองโดยสงบ เปิดเผยและแสดงเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 5 ปี กรณีสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เคลื่อนที่ได้ และ 10 ปี กรณีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์ขนาดใหญ่ เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น บ้าน หรือที่ดิน ดังนี้ ผู้ครอบครองลักษณะดังกล่าวเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์
        เรื่อง ครอบครองปรปักษ์ก็ดี อายุความก็ดี แสดงให้เห็นว่ากฎหมายกับศีลธรรมมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่ ผู้ครอบครองปรปักษ์ไปเบียดบังยึดถือสิ่งของของผู้อื่น กฎหมายบอกว่าถ้าครอบครองนานตามกำหนดก็ยอมให้ผู้นั้นได้สิทธิ แต่ไม่ได้หมายความว่าการกระทำดังกล่าวถูกต้องชอบธรรมตามไปด้วย ทั้งนี้เพราะกฎหมายนอกจากมุ่งให้เกิดความเป็นธรรมแล้วยังต้องการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมด้วย เรื่องครอบครองปรปักษ์นี้เป็นเรื่องที่กฎหมายคำนึงถึงความสงบเรียบร้อยมากกว่าการรักษาความเป็นธรรม
        อาจสรุปได้ว่า ในยุคกฎหมายนักกฎหมายนี้เป็นยุคของหลักกฎหมาย เป็นหลักนิติศาสตร์ที่เป็นกฎเกณฑ์อันเกิดจากการใช้เหตุผลที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง เป็นเหตุผลที่ปรุงแต่งขึ้นในทางกฎหมาย (Artificial Juristic Reason) เป็นกฎเกณฑ์ที่นักกฎหมายพัฒนาขึ้นมาเพื่อปรุงแต่งกฎหมายที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีอยู่แต่ดั้งเดิม เพื่อชี้ขาดข้อพิพาทให้ถูกต้องและเป็นธรรม กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ที่สามัญชนใช้สามัญสำนึกคิดเอาเองไม่ได้ ต้องเรียนรู้ด้วยเหตุผลจึงจะเข้าใจ ในยุคนี้กฎหมายกับศีลธรรมแยกกันชัดเจนขึ้น ในขณะเดียวกันวิชานิติศาสตร์และวิชาชีพนักกฎหมายก็เกิดขึ้นในยุคนี้เช่นเดียวกัน
        3. ยุคกฎหมายเทคนิค (Technical Law) เมื่อสังคมเจริญขึ้น การติดต่อระหว่างคนในสังคมมีมากขึ้นและใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซับซ้อนยิ่งขึ้น เครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตก็มีมากขึ้น ทำให้มีข้อขัดแย้งในสังคมมากขึ้น กฎเกณฑ์ที่เป็นแต่ขนบธรรมเนียมประเพณีไม่เพียงพอ จึงจำต้องมีกฎเกณฑ์ที่บัญญัติขึ้นมาทันทีเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น กฎจราจร แต่ก่อนไทยใช้เกวียน เห็นเกวียนมาก็หลีกกันเองได้โดยไม่ต้องถูกกำหนดให้เดินซ้ายเดินขวา เพราะมันเดินไม่เร็ว คันนี้ไปซ้าย อีกคันก็ไปขวา ไม่มีอันตราย จะซ้ายก็ได้จะขวาก็ได้ แต่ถ้าเมื่อมีการประดิษฐ์รถยนต์ขึ้นมาแล้วจะให้เดินสวนทางแบบเกวียนก็อาจชนกันตาย เพราะฉะนั้นเมื่อมีเหตุการณ์ใหม่ คือ รถยนต์เกิดขึ้นจะใช้กฎจราจรแบบเกวียนไม่ได้ จำเป็นต้องตั้งกฎจราจรขึ้นมา ในประเทศไทยตั้งกฎจราจรบังคับใช้แบบในประเทศอังกฤษ ขับรถชิดซ้ายต่างจากประเทศในภาคพื้นยุโรป บังคับให้ขับรถชิดขวา
        กฎเกณฑ์แบบนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง บางอย่างไม่เกี่ยวกับศีลธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี และไม่เกี่ยวกับหลักกฎหมาย แต่เป็นเรื่องที่ชุมชนจะต้องกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาทันทีทันใดเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบางอย่าง กฎหมายที่ถูกตั้งขึ้นมานี้เรียกว่า กฎหมายเทคนิคเทคนิคคือวิธีการที่จะทำอะไรบางอย่างให้เกิดผลตามที่ตั้งใจไว้ วิธีการนำไปสู่ผลที่ต้องการอย่างนี้เรียกว่าเป็น เทคนิคกฎหมายแบบนี้บัญญัติขึ้นมาเพื่อก่อให้เกิดผลเฉพาะเจาะจงบางอย่าง กฎจราจรต้องการให้เกิดความปลอดภัยและความสะดวกในการจราจร ไม่ใช่ว่าขับรถทางซ้ายเป็นคนดี ขับรถทางขวาเป็นคนไม่ดี ไม่ใช่เรื่องดีชั่วในตัวเอง แต่เป็นเรื่องผิดถูกเพราะเขากำหนดไว้อย่างนี้แล้วไม่ทำก็ผิด ในสมัยโบราณก็อาจจะมีอยู่ เช่น ชนเผ่าที่เร่ร่อนไม่มีที่อยู่ อยู่ที่ไหนต้องเผชิญภัยพิบัติต่างๆ จึงต้องกำหนดหน้าที่ชายฉกรรจ์บางจำพวกให้ตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนมาก่อไฟและตั้งเป็นเวรยามไว้เมื่อเห็นภัยจะได้ขับไล่ต่อสู้ สิ่งที่กำหนดขึ้นมานี้ไม่ใช่เรื่องศีลธรรมแต่เป็นความจำเป็นตามสถานการณ์ของสังคมนั้นที่จะต้องทำ ซึ่งกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเช่นนี้เรียกว่า กฎหมายเทคนิค (Technical Law)”
        สมัยใหม่กฎเกณฑ์ที่กำหนดตั้งขึ้นมาอย่างนี้มีมากมายและกระทำเป็นประจำ องค์กรที่บัญญัติกฎหมายเรียกว่า สภานิติบัญญัติหรือฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่บัญญัติกฎหมาย เป็นส่วนหนึ่งของ อำนาจอธิปไตยของรัฐซึ่งเกิดขึ้นในสมัยใหม่
        เมื่อสังคมมีกระบวนการนิติบัญญัติอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้วยุคกฎหมายเทคนิคก็เริ่มขึ้นนับเป็นยุคที่สาม ปัจจุบันกฎหมายก็วิวัฒนาการมาถึงยุคนี้ซึ่งจะเห็นว่ามีกฎหมายตราออกมามากมาย กฎหมายป่าไม้ที่กำหนดว่า ถ้าจะตัดไม้ต้องขออนุญาต ไม้บางอย่างห้ามไม่ให้ตัด การเคลื่อนย้ายไม้ต้องมีใบอนุญาตให้เคลื่อนย้ายจึงจะเคลื่อนย้ายได้ ปัญหาว่าทำไมถึงห้ามตัดไม้ ไม่ใช่เป็นการตัดไม้เป็นความชั่ว สมัยโบราณป่าไม้เต็มบ้านเต็มเมืองทำป่าให้เป็นนา การโค่นต้นไม้จึงเป็นความขยันหมั่นเพียรที่ได้รับการยกย่อง ตามความคิดไทยแต่เดิมการตัดไม้จึงไม่ผิดศีลธรรม แต่เดี๋ยวนี้มีกฎหมายห้ามเพราะเหตุผลบางอย่างที่ต้องการรักษาป่าไม้ไว้ให้ลูกหลาน เพื่อจะได้ใช้กันนานๆ หรือเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะว่าบ้านเมืองที่ป่าถูกทำลายมาก อากาศแปรปรวน ต่อไปอาจกลายเป็นทะเลทรายก็ได้ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดี ด้วยเหตุผลนี้จึงต้องมีกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ออกมา กฎหมายว่าด้วยป่าไม้จึงเป็นกฎหมายเทคนิค
        กล่าวโดยสรุป กฎหมายเทคนิคต้องมีลักษณะ 2 ประการ คือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นทันทีเพื่อวัตถุประสงค์บางประการ ซึ่งเป็นเหตุผลทางเทคนิค (Technical Reason) และกฎเกณฑ์เหล่านั้นไม่มีเหตุผลในทางศีลธรรม (Moral Reason) หรือหลักกฎหมายคอยสนับสนุนอยู่ กฎหมายเทคนิคเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการนิติบัญญัติ จึงมักจะเรียกว่า กฎหมายส่วนบัญญัติหรือ กฎหมายนิติบัญญัติ
        เมื่อมีกฎหมายเทคนิคก็เกิดปัญหาว่าใครมีอำนาจบัญญัติกฎหมาย ไม่ใช่ทุกคนทำได้แต่ต้องเป็นผู้มีอำนาจซึ่งเป็นไปตามกาลสมัย ถ้าสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผู้บัญญัติกฎหมายก็คือ พระมหากษัตริย์ สมัยใหม่ในรัฐที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยจะมีการแยกอำนาจออกเป็น 3 ส่วน คือ แยกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ฝ่ายนิติบัญญัติคือฝ่ายมีอำนาจบัญญัติกฎหมาย ปัญหาว่าใครมีอำนาจบัญญัติกฎหมายนั้นแตกต่างไปในแต่ละยุคสมัย ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีอำนาจ ในสมัยประชาธิปไตย รัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนเป็นผู้มีอำนาจ
        ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ กฎหมายเทคนิคไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมคอยหนุนหลัง ถ้าใครผิดก็ไม่รู้สึกว่าคนนั้นทำชั่ว หรือทำผิดศีลธรรม เพราะฉะนั้นกฎหมายเทคนิคจึงไม่มีลักษณะบังคับตามธรรมชาติ (Spontaneous sanction) ถ้ากฎเกณฑ์ที่ว่าห้ามลักทรัพย์ หรือห้ามผิดลูกเมียผู้อื่นถือเป็นกฎเกณฑ์ที่มีต้นตอมาจากศีลธรรม มีลักษณะบังคับอยู่ในตัวตามธรรมชาติ ใครๆ ก็รู้ว่าชั่ว จึงไม่อยากทำหรือว่าทำแล้วก็ไม่อยากให้คนรู้ แต่การทำผิดทางกฎหมายเทคนิคนั้นไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม เช่น จอดรถในที่ห้ามจอด คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าชั่ว ด้วยเหตุนี้กฎหมายเทคนิคจึงมีจุดอ่อนในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายในสังคม หรือมีผลบังคับในสังคม การที่จะทำให้กฎหมายเทคนิคเกิดความศักดิ์สิทธิ์จึงต้องควรดำเนินการดังนี้
        1) การกำหนดมาตรการและโทษจะต้องเหมาะสมกับสภาพของการกระทำผิดและมีความรุนแรงเพียงพอที่จะทำให้คนกลัว โดยจะต้องเป็นการทำให้เขาเสียประโยชน์มากกว่าจะได้รับประโยชน์จากการกระทำผิด
        2) จะต้องมีการบังคับลงโทษอย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ ไม่เลือกปฏิบัติ กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ถ้ากระทำผิดก็จะต้องจับทันที หากมีกฎหมายออกมาแต่จับบ้างไม่จับบ้างก็ไม่มีประโยชน์ จะทำให้กฎหมายเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่เป็นตัวหนังสือเท่านั้น
        3) ในสังคมสมัยใหม่ มีกฎหมายเทคนิคออกมามากมายและด้วยความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายนั้น รัฐจึงต้องมีเครื่องจักรในการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย เครื่องจักรในที่นี้คือหน่วยราชการ เจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งอาจเป็นตำรวจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เช่น กรมป่าไม้ กรมศุลกากร เป็นต้น คอยตรวจสอบและจับคนทำผิดมาลงโทษอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นรัฐใดที่มีกฎหมายเทคนิคมากก็ยิ่งมีความจำเป็นที่จะต้องมีเจ้าหน้าที่เข้มแข็ง เอาการเอางาน มีความรู้ความสามารถในเทคนิคใหม่ๆ และมีความซื่อสัตย์สุจริตด้วย
        4) ในด้านของประชาชน จะต้องทำให้เกิดมีความสำนึกในหน้าที่ของพลเมืองดีที่จะต้องเคารพกฎหมาย ปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ถ้าจิตสำนึกเช่นนี้มีอยู่ในจิตใจของประชาชนอย่างแพร่หลายในสังคม สังคมนั้นจะกลายเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมทางกฎหมาย (Legal culture) ประเทศที่ได้รับความยกย่องว่ามีวัฒนธรรมทางกฎหมายเป็นตัวอย่างให้แก่โลกในสมัยนี้ เช่น ประเทศอังกฤษ ประเทศเยอรมัน ในสมัยก่อนในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในประเทศอังกฤษ ประชาชนยกย่องและยึดถือ หลักนิติธรรม (The Rule of Law)” และในประเทศเยอรมันก็มี หลักนิติรัฐ (Rechtsstaat)” เป็นที่เคารพนับถือของประชาชน สั่งสอนและอบรมกันในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเป็นธรรมเนียมเสมอมา เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าในประเทศที่มีวัฒนธรรมทางกฎหมายเป็นอย่างดีเท่านั้นที่สิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของมนุษย์ได้รับการยกย่องนับถือและได้รับความคุ้มครองเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยในสมัยใหม่
การจัดทำกฎหมายไทย
                ประเทศไทยเริ่มใช้ระบบประมวลกฎหมาย มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบันมีการจัดทำกฎหมายขึ้นใช้หลายรูปแบบ เรียงตามลำดับฐานะหรือความสำคัญของกฎหมาย4 จากสูงไปต่ำ ดังนี้ รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ (พระราชกำหนดประมวลกฎหมาย) พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และกฎหมายท้องถิ่น การจัดทำกฎหมายรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้ มีขั้นตอนและวิธีการแตกต่างกัน ดังนี้
การจัดทำรัฐธรรมนูญ
                
รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประชาชน เป็นกฎหมายที่กำหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบการบริหารประเทศ ผู้ที่มีอำนาจจัดหาสูงสุดในการปกครองประเทศขณะนั้น ไม่ว่าจะได้อำนาจมา โดยวิธีใดก็ตาม อาจจะเป็นประมุขของประเทศ หรือหัวหน้าคณะปฏิวัติหรอรัฐประหาร ที่ต้องการเปลี่ยนการปกครองจากการใช้กำลัง มาเป็นการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ  ในสถานการณ์ที่มีการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจการปกครอง การจัดทำรัฐธรรมนูญอาจกระทำอย่างรวบรัด ตั้งแต่การยกร่าง การพิจารณาโดยไม่เปิดเผย แล้วประกาศใช้เลยก็ได้ แต่โดยหลักการแล้วเท่าที่ผ่านมา หัวหน้าคณะปฏิวัติจะถวายอำนาจการตรารัฐธรรมนูญแต่พระมหากษัตริย์ โดยนำขึ้นทูลเกล้าให้ทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีหัวหน้าคณะปฏิวัติเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการประกาศใช้ เช่น พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามฉบับชั่วคราว  พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 และ พ.ศ. 2520 เป็นต้น
                ในสถานการณ์ปกติ การจัดทำรัฐธรรมนูญ จะมีการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งคณะบุคคลขึ้นมาทำหน้าที่ยกร่างและพิจารณา อาจเรียกว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ หรืออาจมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นก็ได้ เมื่อยกร่างและพิจารณาเสร็จแล้วก็จะนำขึ้นทูลเกล้าให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้โดยมีสภาดังกล่าวเป็นผู้รับสอนพระบรมราชโองการ เช่น การจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ฉบับปัจจุบัน เป็นต้น
การจัดทำพระราชบัญญัติ
                
พระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญรองลงมาจากรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา มีขั้นตอนและวิธีการดังนี้
                การเสนอร่างพระราชบัญญัติ
                
ผู้ที่มีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพรรคการเมืองที่สังกัดมีมติให้เสนอได้ และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งสังกัดพรรคการเมืองเดียวกันลงชื่อรับรองไม่น้อยกว่า 20 คน หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000คน เสนอร่างพระราชบัญญัติได้เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ หรือแนวนโยบายแห่งรัฐ ร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงินต้องให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับรองด้วย
                การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
                
ผู้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภา โดยต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรก่อน แล้วจึงเสนอให้วุฒิสภาพิจารณา
                การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร
 จะพิจารณาโดยแบ่งออกเป็น 3 วาระ คือ
                    วาระที่ 1 รับหลักการ
 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาเฉพาะ หลักการของร่างพระราชบัญญัติว่า เกี่ยวข้องกับเรื่องใดบ้าง มีความเหมาะสม จำเป็นหรือไม่ โดยไม่พิจารณารายละเอียดอื่น ๆ แล้วลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่ ถ้าไม่รับหลักการก็ตกไป ถ้ารับหลักการก็จะตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นพิจารณารายละเอียด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนมีสิทธิเสนอขอเปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติม ต่อประธานคณะกรรมาธิการ เรียกว่า แปรญัตติ
                    วาระที่ 2 แปรญัตติ
 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ที่มีการขอแปรญัตติ และลงมติเฉพาะมาตรานั้นว่าจะเปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติมตามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอ หรือคงไว้ตามเดิม 
                    วาระที่ 3 ลงมติให้ความเห็นชอบ 
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะลงมติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ จะเปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติมใด ๆ อีกไม่ได้ ถ้าไม่เห็นชอบก็ตกไป ถ้าเห็นชอบด้วยก็ส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป
                การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา
                
วุฒิสภาจะพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติที่เสนอมา โดยแบ่งออกเป็น 3 วาระ เช่นเดียวกับสภาผู้แทนราษฎร และจะต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน ต้องพิจารณาให้เสรีภายใน 30 วัน ถ้าไม่เสรีที่ประชุมอาจลงมติให้ขยายเวลาออกไปได้อีก 30 วัน ถ้าไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าวุฒิสภาให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัตินั้น
                การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี สภาผู้แทนราษฎรต้องพิจารณาให้เสรีภายใน 105 วัน และวุฒิสภาต้องพิจารณาให้เสรีภายใน 20 วัน ถ้าไม่เสรีภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าได้รับความเห็นชอบ
                ถ้าวุฒิสภามีมติไม่เห็นชอบ ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อนและส่งคืนสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ต่อเมื่อเวลา 180 วันได้ล่วงพ้นไป ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทันที ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างพระราชบัญญัติเดิม ด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา
            การตราร่างพระราชบัญญัติ
            
ร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ภายใน 20 วัน โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการร่างพระราชบัญญัติที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบและพระราชทานคืนมา หรือเมื่อพ้น 90 วันแล้ว มิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่   ถ้ารัฐสภาลงมติยีนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ให้นายรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้า ฯ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีนำพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษา ใช้บังคับเป็นกฎหมายเสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว
                การประกาศใช้พระราชบัญญัติ
                
พระราชบัญญัติที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
                การจัดทำพระราชกำหนด

                พระราชกำหนดเป็นกฎหมายที่ออกโดยผ่ายบริหาร ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นให้ใช้บังคับ เช่น พระราชบัญญัติ โดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี แล้วนำเสนอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติ พระราชกำหนดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
                    1. พระราชกำหนดทั่วไป
 จะออกได้ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลดภัยของประเทศ หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือป้องปัดพิบัติสาธารณะ
                    2. พระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา
 จะออกได้ในระหว่างสมัยประชุม กรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งต้องได้รับพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
             การเสนอร่างพระราชกำหนด
            
ผู้เสนอร่างพระราชกำหนด ได้แก่ รัฐมนตรีที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ เช่น ถ้ามีความจำเป็นจะต้องขึ้นภาษีอากรอย่างรับด่วน ซึงต้องพิจารณาเป็นความลับ การขึ้นภาษีอากรนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวข้องก้บกระทรวงพาณิชย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้เสนอ เป็นต้น
            การเสนอร่างพระราชกำหนด
            
ผู้เสนอร่างพระราชกำหนด ได้แก่ รัฐมนตรีที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ เช่น ถ้ามีความจำเป็นจะต้องขึ้นภาษีอากรอย่างรีบด่วน ซึ่งต้องพิจารณาเป็นความลับ การขึ้นภาษีอากรนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้เสนอ เป็นต้น
            การพิจารณาร่างพระราชกำหนด
            
ผู้พิจารณาร่างพระราชกำหนด คือ คณะรัฐมนตรี โดยจะพิจารณาว่าพระราชกำหนดนั้นเป็นเรื่องฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ แล้วลงมติอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ถ้าอนุมัติก็ตกไป
            การตราพระราชกำหนด
            
ผู้ตราพระราชกำหนด ได้แก่ พระมหากษัตริย์ พระราชกำหนดที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงปรมาภิไธย และลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
            การประกาศใช้พระราชกำหนด
            
พระราชกำหนดที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อนำไปประกาศในราชกิจจินุเบกษาแล้ว จึงจะมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายพระราชกำหนดที่ประกาศใช้แล้ว คณะรัฐมนตรีจะต้องเสนอพระราชกำหนดนั้นต่อรัฐสภา ถ้าเป็นพระราชกำหนดทั่วไปจะต้องเสนอโดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนดนั้นโดยเร็ว ถ้าเป็นพระราชกำหนดที่เกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตราต้องนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรภายใน 3 วัน  การพิจารณาพระราชกำหนดของสภา จะพิจารณาเช่นเดียวกับการพิจารณาพระราชบัญญัติแล้วลงมติอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ถ้ารัฐสภาไม่อนุมัติ พระราชกำหนดนั้นตกไป สิ้นผลบังคับใช้ไม่เป็นกฎหมายอีกต่อไป แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงกิจการที่ได้เป็นไประหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น ถ้ารัฐสภาอนุมัติพระราชกำหนดนั้นมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป และการพิจารณาต้องกระทำในโอกาสแรกที่มีการประชุมสภานั้น ๆ การอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนด ให้นายกรัฐมนตรีประกาศใน
                การจัดทำพระราชกฤษฎีกา

                พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี พระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์รองลงมาจากพระราชบัญญัติ การออกพระราชกฤษฎีกาต้องอาศัยกฎหมายอื่นที่มีศักดิ์สูงกว่าซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทให้อำนาจให้ออกได้ เช่น การจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป  รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา หรือพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 บัญญัติให้การแบ่งส่วนราชการในสำนักเลขานุการรัฐมนตรี กรม หรือส่วนรายการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ให้ตราเป็นพระราช-กฤษฎีกา เป็นต้น ดังนั้นการออกพระราชกฤษฎีกาจะขัดต่อกฎหมายแม่บทไม่ได้
                การเสนอร่างพระกฤษฎีกา
                
ผู้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกา ได้แก่ รัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับกระทรวงใด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้นก็เป็นผู้เสนอ เช่นพระราชกฤษฎีกา ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527 เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็เป็นผู้เสนอ เป็นต้น
                การพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา
                
ผู้พิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา ได้แก่ คณะรัฐมนตรี โยพิจารณาว่าพระราชกฤษฎีกานั้น มีกฎหมายฉบับใดให้อำนาจออกได้หรือไม่ มีข้อความใดขัดแย้งกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายแม่บทหรือไม่
                การตราพระราชกฤษฎีกา
                
ผู้ตราพระราชกฤษฎีกา ได้แก่ พระมหากษัตริย์ เอคณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาแล้ว เห็นว่าเหมาะสมและใช้ได้ก็จะนำพระราชกฤษฎีกานั้นขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย โดยมีรัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
                การประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา
                
พระราชกฤษฎีกาที่พระมหากษัตริย์ทรงทลพระปรมาภิไธย เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจึงจะมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
                การจัดทำกฎกระทรวง
                
กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งรัฐมนตรีผู้รับการตามพระราชบัญญัติ ได้ออกเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติที่กฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ ดังนั้นกฎกระทรวงจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายแม่บท
                การเสนอกฎกระทรวง
                
ผู้เสนอกฎกระทรวง ได้แก่ รัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น กล่าวคือ เป็นเรื่องของกระทรวงใด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้นก็เป็นผู้เสนอ
                การพิจารณากฎกระทรวง
                
ผู้พิจารณากฎกระทรวง ได้แก่ คณะรัฐมนตรี โดยจะพิจารณากลั่นกรองว่ามีข้อความใดขัดแย้งกับกฎหมายแม่บทหรือขัดต่อนโยบายของรัฐบาลหรือไม่
                การตรากฎกระทรวง
                
ผู้ตรากฎกระทรวง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ๆ เป็นผู้ลงนามประกาศใช้
                การประกาศใช้กฎกระทรวง
                
กฎกระทรวงที่รัฐมนตรีลงนามแล้ว เมื่อนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วจึงจะมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายนอกจากนี้ยังมีประกาศกระทรวง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมีอกนาจออกได้โดยอาศัยกฎหมายแม่บทเช่นเดียวกับกฎกระทรวง แต่ไม่ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงผู้รับผิดชอบเป็นผู้ลงนาม แล้วประกาศในราชกิจจนุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
                การจัดทำกฎหมายท้องถิ่น
                
กฎหมายท้องถิ่นหรือกฎหมายที่ออกโดยองค์กรปกครองตนเอง เป็นการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเอง โดยออกกฎหมายใช้บังคับในท้องถิ่นตนเองได้ ปัจจุบันประเทศไทยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 รูป ซึ่งสามารถออกกฎหมายใช้บังคับในท้องถิ่นของตนเองได้ คือ
                    1. เทศบัญญัติ
 เป็นกฎหมายที่เทศบาลจัดทำขึ้นใช้บังคับในเขตเทศบาลนั้น ๆ
                    2. ข้อบัญญัติจังหวัด
 เป็นกฎหมายที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด จัดทำขึ้นใช้ในเขตจังหวัดนั้น ๆ
                    3. ข้อบังคับตำบล
 เป็นกฎหมายที่องค์การบริหารส่วนตำบลจัดทำขึ้นใช้บังคับในเขตตำบลนั้น ๆ
                    4. ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
 เป็นกฎหมายที่กรุงเทพมหานครจัดทำขึ้นใช้บังคับในเขตกรุงเทพมหานคร
                    5. ข้อบังคับเมืองพัทยา
 เป็นกฎหมายที่เมืองพัทยาจัดทำขึ้นใช้บังคับในเขตเมืองพัทยา
                การศึกษาเรื่องการจัดทำกฎหมายท้องถิ่น เกี่ยวกับการเสนอ การพิจารณา การอนุมัติ และการประกาศใช้เพื่อความสะดวก เข้าใจง่าย และเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน ให้นักเรียนศึกษาจากตารางการจัดทำกฎหมายต่อไปนี้
การบังคับใช้กฎหมาย
             
กฎหมายที่ผ่านกระบวนการจัดทำและประกาศใช้แล้วย่อมมีผลบังคับใช้ได้ การบังคับข้อกฎหมายจะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ วันเริ่มบังคับใช้กฎหมาย อาณาเขตที่กฎหมายใช้บังคับ และบุคคลที่กฎหมายใช้บังคับ
            วันเริ่มบังคับใช้กฎหมาย
            
วันเริ่มบังคับใช้กฎหมายจะมีผลตั้งแต่เมื่อใดนั้น โดยทั่วไปในกฎหมายนั้นจะระบุวัน เวลา ที่กฎหมายจะเริ่มมีผลบังคับใช้ไว้ด้วย ซึ่งอาจจะไม่ใช่วันเดียวกันกับวันที่ประกาศใช้กฎหมายก็ได้ แต่ถ้าในกฎหมายนั้นไม่ได้ระบุวันที่จะเริ่มบังคับใช้ไว้ ก็จะมีผลตั้งแต่วันที่ประกาศใช้เป็นต้นไป โดยเป็นไปตามหลักที่ว่า กฎหมายไม่มีผลย้อนหลังเว้นแต่บางกรณีที่มี่ความจำเป็นจะต้องบังคับใช้ย้อนหลัง ก็จะมีการระบุไว้ชัดเจนในกฎหมายนั้นว่า ให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง วันเริ่มบังคับใช้กฎหมายอาจกำหนดได้ดังนี้
                1. ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ประกาศกิจจานุเบกษา
 จะใช้ในกรณีรีบด่วนโดยให้กฎหมายนั้นมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ใช้กฎหมายจะต้องไปค้นดูว่าราชกิจจานุเบกษาลงประกาศวันใด ก็จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันไหนเป็นต้นไป
                2. ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
 ในกรณีปกติโดยทั่วไป วันเริ่มบังคับใช้กฎหมายจะให้มีผลตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งผู้ใช้กฎหมายจะต้องไปค้นดูว่าราชกิจจานุเบกษาลงประกาศวันใดวันถัดมากฎหมายนั้นก็จะมีผลบังคับใช้เพื่อให้ประชาชนได้ทราบล่วงหน้าก่อน 1 วัน
                3. ใช้บังคับในอนาคต
 ในกรณีที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่ ส่วนราชการ หรือประชาชน ได้จัดเตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย วันเริ่มบังคับใช้กฎหมายจะกำหนดไว้ล่วงหน้า โดยกำหนดให้ระยะเวลาผ่านพ้นไประยะหนึ่ง จึงจะให้กำหมายมีผลบังคับใช้ เช่นพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นสิบห้าวันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้กฎหมายก็จะต้องไปค้นดูราชกิจจานุเบกษาว่าลงประกาศวันใด แล้วต้องรอให้ผ่านพ้นไปอีกสิบห้าวัน กฎหมายนั้นจึงจะมีผลบังคับใช้ได้
                อาณาเขนที่กฎหมายใช้บังคับ
                
โดยหลักทั่วไปกฎหมายของรัฐใดประเทศใด ย่อมจะใช้บังคับเฉพาะในอาณาเขตของรัฐนั้นหรือประเทศนั้นโดยตลอดทั่วทั้งรัฐหรือประเทศ กฎหมายจึงมีผลบังคับใช้เฉพาะในอาณาเขตประเทศไทยซึ่งเรียกว่า ราชอาณาจักรไทยซึ่งหมายถึง
                    1.พื้นดินและพื้นน้ำในอาณาเขตประเทศไทย รวมทั้งภูเขา แม่น้ำ อุโมงค์ และใต้ดินด้วย
                    2.ทะเลอันห่างจากชายฝั่งที่เป็นดินแดนของประเทศไทยไม่เกิน12 ไมล์ทะเล
                    3.ทะเลอันเป็นอ่าวไทย
                    4.พื้นอากาศเหนือพื้นดินและทะเลอันเป็นอาณาเขตประเทศไทย
                อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นบางกรณีเกี่ยวกับอาณาเขตกฎหมายไทยใช้บังคับคือ
                กรณียกเว้นบังคับใช้ออกไปนอกราชอาณาจักร
 ได้แก่ การกระทำความผิดในเรือหรืออากาศยานไทยไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดให้ถือว่ากระทำผิดในราชอาณาจักร หรือความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เช่น ความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง เช่น ปลอมเงินตรา หรือความผิดฐานชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง ฯลฯ เป็นต้น
                กรณียกเว้นไม่บังคับใช้ตลอดทั่วราชอาณาจักร 
อาจจะเนื่องมาจากสภาพภูมิศาสตร์ สังคม ศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม เล่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล พ.ศ. 2498 ใช้บังคับเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามที่มีภูมิลำเนาในเขต 4 จังหวัดภาคใต้ดังกล่าว เป็นต้น
                บุคคลที่กฎหมายบังคับ
                
โดยหลักทั่วไปกฎหมายของรัฐใดประเทศใด ย่อมจะใช้บังคับแกบุคคลทุกคนที่อยู่ในรัฐนั้นหรือประเทศนั้น กฎหมายไทยจึงมีผลใช้บังคับกับทุกคนที่อยู่ในราชอาณาจักรไทย ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนสัญชาติใด เชื้อชาติใด ก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นตามกฎหมายบางประเทศ ที่จะไม่ใช้บังคับกับบุคคลบางคน
การยกเลิกกฎหมาย
                การยกเลิกกฎหมาย คือ การทำให้กฎหมายสิ้นสุดการบังคับใช้ ซึ่งกระทำได้ทั่งการยกเลิกโดยตรงและโดยปริยาย
                การยกเลิกกฎหมายโดยตรง

                เป็นกรณีที่ที่มีกฎหมายระบุให้ยกเลิกไว้อย่างชัดแจ้งมีหลักเกณฑ์ดังนี้
                    1. กฎหมายนั้นกำหนดวันยกเลิกเอาไว้เอง
 เช่น บัญญัติเอาไว้ว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ใช้ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปเป็นเวลาสองปีเมื่อครบกำหนด 2 ปี กฎหมายนั้นก็สิ้นสุดการบังคับใช้ไปเอง
                    2. ออกกฎหมายใหม่มายกเลิก
 โดยกฎหมายฉบับใหม่ที่ออกมานั้นเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน และมีบทบัญญัติระบุให้ยกเลิก เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 มีบัญญัติไว้ในมาตรา 3 ว่า ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 เป็นต้น
                    3. เมื่อรัฐสภาไม่อนุมัติพระราชกำหนด
 พระราชกำหนดเมื่อประกาศใช้แล้ว จะต้องให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติอีกครั้งหนึ่ง ถ้ารัฐสภามีมติไม่อนุมัติ พระราชกำหนดนั้นก็จะสิ้นสุดการบังคับใช้
                การยกเลิกกฎหมายโดยปริยาย 

                เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายใดระบุให้ยกเลิกไว้อย่างขัดแจ้ง มีหลักเกณฑ์ดังนี้
                    1. เมื่อกฎหมายใหม่และกฎหมายเก่ามีบทบัญญัติกรณีหนึ่งเป็นอย่างเดียวกัน
 ให้ใช้กฎหมายใหม่ ถือว่ากฎหมายเก่าถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
                    2. เมื่อกฎหมายใหม่มีข้อความขัดแย้งกับกฎหมายเก่า ให้ใช้กฎหมายใหม่ถือว่ากฎหมายเก่าถูกยกเลิกไปโดยปริยายทั้ง 2 กรณี ดังกล่าวต้องใช้กฎหมายใหม่ เพราะเหตุว่า บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าขึ้น สถานการณ์บ้านเมืองย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา กฎหมายเก่าที่ใช้มาเป็นเวลานานอาจจะไม่เหมาะสมกับยุคสมัย การใช้กฎหมายใหม่ย่อมเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า
                    3. กฎหมายแม่บทยกเลิกกฎหมายบริวารถูกยกเลิกด้วย
 กฎหมายบริวารหรือกฎหมายลูกที่ออกมาใช้โดยอาศัยกฎหมายแม่บท เมื่อกฎหมายแม่บทถูกยกเลิก ถือว่ากฎหมายบริวารถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
หมายเหตุ การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า กฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็ถือว่าเป็นการยกเลิกกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง


ขอขอบคุณที่มาจาก  www.thailaws.com
                                    www.thaigoodview.com
                                    www.kullawat.net
                                    www.bp-smakom.org